ตามที่หนังเล่าตนเองไว้ บูชา เป็นภาพยนตร์สารคดีที่พาพวกเราไปดูดซึมควันธูปและก็หมอกที่พิธีการที่ทำให้ “ความเชื่อ” และก็ “การหลงเชื่อ” ใกล้เคียงกันกระทั่งบางทีแยกไม่ออก
หนังพาพวกเราเดินทางผ่านเส้นละติจูดเส้นลองติจูดของภูมิศาสตร์เมืองไทย และก็ยังผ่านเส้นแบ่งของเขตแดนด้านจิตวิญญาณระหว่างความเชื่อถือ ศาสนา ผีสาง เครื่องรางของขลัง นิมิตลอตเตอรี่ และก็ความไม่มีสติปัญญา เสียงพร่ำบ่นของผู้ชมคนไม่ใช่น้อยภายหลังจากได้ดูหนังที่ออกฉายแบบจำกัดโรงไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้าที่ผ่านมาหมายถึงบูชา เป็นหนังที่อ้อยสร้อย ไม่มีเรื่องราวที่ชัดแจ้ง แทบจะไม่มีคำกล่าวแล้วก็คำชี้แจง แถมยังอุตสาหะเล่าและก็แสดงภาพพิธีการที่คนจำนวนมากก็รู้อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นการจาริกสะกดรอยรอยเท้าเขาคิชฌกูฏ งานแห่นาคโหดเหี้ยม บุญบั้งไฟ ม้าทรงรับประทานเจจังหวัดภูเก็ต เลยไปถึงงานสวดมนตร์ภาที่ยักษ์ การลงคาถาเครื่องรางและก็การขอสลากกินแบ่งกับบรรดา “เกจิ” ที่มีประชาชนร้านค้าลาดเลื่อมใส่ ภาพของพิธีการพวกนี้ถูกร้อยเรียงสม่ำเสมอโดยไม่มีคำบอกเล่าชี้แจง และไม่มีการแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าหนังอยากได้ “สื่อ” อะไร
สำหรับคนเขียน ความ abstract ของหนัง – การที่หนังมิได้อุตสาหะเล่าหรือสร้าง narrative – เป็นทั้งยังจุดแข็ง และก็เป็นการรับรองสถานะการเป็นคนทำหนังที่มีแนวทางกระจ่างของผู้กำกับ เลิศวงศ์ รักษาซื่อสัตย์ คุณครูจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วก็คนทำหนังสารคดีชั้นหนึ่งของไทยที่เฝ้าติดตามแล้วก็บันทึกภาพชีวิตคนบ้านนอกแล้วก็วิถีชาวบ้าน แอบแฝงไว้ด้วยสายตาติชมระบบการกดขี่รวมทั้งความไม่ชอบธรรมในสังคม ในหนังของเขาทุกเรื่องตั้งแต่ เรื่องเล่าจากภาคเหนือ (Stories From the North), สรวงสวรรค์บ้านนา (Agrarian Utopia), เพลงของข้าว (Songs of Rice) รวมทั้งมาถึง บูชา (Worship) คุณสมบัติที่ทำให้หนังของประเสริฐเหล่ากอทุกเรื่อง ไม่เหมือนกับสารคดีดาดๆทางโทรทัศน์ที่มักอ้างถึงว่าเป็นการ “เผย” ความอยุติธรรมต่อราษฎรแล้วก็เกษตรกร เป็นการที่หนังของเลิศโคตร มีงานภาพที่สะอาด มุมกล้องถ่ายภาพอันทะยานอยาก และก็ความมานะบากบั่นสร้างงานศิลป์จากทุกเฟรมภาพ – ว่านอนสอนง่ายๆเป็นหนังถ่ายงามมากมายทุกเรื่อง งามเกินกว่าสารคดีโทรทัศน์ปกติหลายเท่า
แต่ว่าที่สำคัญกว่าภาพงาม เป็นการที่ใหญ่พงศ์พันธุ์ใช้ภาษาภาพให้ปฏิบัติภารกิจเป็นบทประพันธ์ มากยิ่งกว่าเป็นความเรียง สำหรับผู้ชม การรับทราบ “รายละเอียด” ของหนัง เชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการรับทราบ “ฟอร์ม” หรือทรงของเรื่อง สิ่งที่ใหญ่โคตรเพียรพยายามทำในหนังทุกเรื่อง และใน บูชา เป็นแนวทางการทำให้กล้องถ่ายรูป (แล้วก็ทำให้ผู้ชม) เปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของประสบการณ์ทางด้านกายภาพเบื้องหน้า เปิดผัสสะทั้งยังรูปแล้วก็เสียงอันผู้กำกับมั่นใจว่าจะนำมาซึ่งความรู้ความเข้าใจในเจตนาของเขา
สิ่งที่ บูชา ต่างจากหนังเรื่องอื่นๆของอุรตระกูล เป็นการที่เขาแสดงออกถึงความข้องใจ ความคลางแคลงใจ แล้วก็ตั้งข้อซักถามกับสิ่งที่คนสามัญเห็นว่าเป็นความเลื่อมใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเลื่อมใสของคนภายในต่างจังหวัด ถึงหนังจะมิได้กล่าวออกมาตรงๆให้พวกเราได้ยินว่า การไปขอสลากกินแบ่ง การเดินตามรอยรอยพระบาท การประทุษร้ายตนเองในงานรับประทานเจ หรือพิธีการแปลกๆอื่นๆเป็นสิ่งไม่ดีหรือไร้สาระ แต่ว่าจุดยืนรวมทั้งความข้องใจของหนังช่างกระจ่างมากมายๆผ่านการแสดงออกทางภาพที่ความหลงใหลแล้วก็การซุกข้อเท็จจริงแล้วก็เหตุผลไว้ใต้ฉากหน้าของ “ความนับถือ” ถ้าเกิดจะขอใช้ภาษาอังกฤษ หนังหัวข้อนี้ deromanticize คนต่างจังหวัด หรือ ทำลายอุดมคติโลกงามของวิถีชีวิตประชาชน (ซึ่งพวกเราเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้ด้วยในงานของเลิศวงศ์เอง)
ยกตัวอย่างเช่นฉากงานรับประทานเจของจังหวัดภูเก็ต เลิศโคตรให้เวลากับฉากนี้ออกจะนาน เขาถ่ายรูปการเดินแห่ ความระส่ำระสายของมนุษย์รวมทั้งการประทุษร้ายตนเองของบรรดาคนทรงเจ้า ทั้งสิ้นนี้ในระยะใกล้มากมายๆไม่เหลือช่องว่างให้ผู้ชมถอยออกมามองดูและก็ใส่ใจ แต่ว่าพาพวกเราเข้าไปสนิทสนมกับประสบการณ์ทั้งยังภาพแล้วก็เสียง และก็ทำให้พวกเรามองเห็นอีกทั้งความน่าละลานตาและก็ความไร้เหตุผลของสิ่งที่อยู่ข้างหน้าทั้งสิ้น นั่นล่ะขอรับที่หนังตั้งมั่นพาพวกเราผ่านเส้นไปๆมาๆ จนกระทั่งกำเนิดความลำบากใจเมื่อมองเห็นความน่าระทึกใจของพิธีบูชารวมทั้งมองเห็นสัญญาณของการหลงเชื่อที่แทรกสอดในทุกอณูของมันไปพร้อมเพียงกัน
ในแวดวงสารคดีหนังโลก กรรมวิธีการของประเสริฐตระกูลรวมทั้ง บูชา ใกล้เคียงกับหนทางสารดคีผัสสะที่มีคนทำหนังสายศิลป์หลายคนใช้ เป็นการไม่เล่าผ่านตัวอักษรหรือเสียงนำเสนอ แม้กระนั้นปลดปล่อยให้ภาพและก็ปรากฎการณ์ข้างหน้าปลดปล่อยพลังดิบ ถึงเลือดถึงเนื้อ น่าฉงนและก็น่ากลัว แล้วก็ปลดปล่อยให้ความสิ่งที่เป็นนามธรรมของโลกและก็ประสบการณ์ก่อร่างขึ้นผ่านรูปภาพที่เอามาจากกล้องถ่ายรูปทำภาพยนตร์