Laal Singh Chaddha จะเป็นยังไงเมื่อForest Gumpแปลงร่างเป็นหนังประเทศอินเดีย
Laal Singh Chaddha เล่นใหญ่เบอร์นี้ จะว่าอาจหาญก็ใช่นะครับ แม้กระนั้นมันก็เสี่ยงเช่นเดียวกันสำหรับในการเอางานคลาสสิกที่คนทั่วทั้งโลกรักมาแปลความหมายใหม่ในทางที่คิดไม่ถึงขนาดนี้ แถมยังคงใช้เวลานานถึง 20 ปีด้วยกว่าจะเริ่มสร้าง เพราะว่า 10 ปีแรก อตุล ระอุลคาร์นี (Atul Kulkarni) ผู้ดัดแปลงแก้ไขบทภาพยนตร์ ใช้เวลาปรับเปลี่ยนบทต้นฉบับที่เขียนโดย อีริก รอคอยธ (Eric Roth) ให้กับบริบท สังคม แล้วก็ประวัติศาสตร์การบ้านการเมืองประเทศอินเดีย แล้วก็อีก 10 ปีถัดมาสำหรับในการทำงานซื้อลิขสิทธิ์อีกทั้งจากสตูดิโอ พาราเมาต์ พิกพบร์ส (Paramount Pictures) และก็วรรณกรรมต้นฉบับ กว่าจะได้ถ่ายทำจริงก็ขว้างเข้าท้ายปี 2019 โดยได้ แอดแวต จันดาน (Advait Chandan) ผู้กำกับคู่ใจ อาภรรยาร์ ข่าน มารับหน้าที่ดูแลภาพยนตร์
‘Laal Singh Chaddha’ เล่าของ ‘ลาล สิงห์ จั๊ดด้า’ (Aamir Khan) ชายหนุ่มชาวซิกข์ที่มีความผิดธรรมดาทางด้านร่างกายรวมทั้งเชาวน์ ที่กำลังเดินทางโดยรถไฟกับกล่องของหวานปานิปูรี (นี่แหละกล่องช็อกโกแลตล่ะ) ในระหว่างเดินทาง ลาลได้เล่าชีวิตของตนให้ผู้โดยสารผู้อื่นได้ฟัง ตั้งแต่วัยเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับแม่ ‘ข้าร์ปรีท’ (Mona Singh) รักแรกพบที่เขาอุทิศให้กับ ‘รูปา ดีซูซา’ (Kareena Kapoor) การได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของประวัติศาสตร์สังคมรวมทั้งการบ้านการเมืองประเทศอินเดีย รวมทั้งสิ่งที่เขาทำตลอดทั้งชีวิต ที่จะเปลี่ยนมาเป็นแรงจูงใจและก็ตั้งข้อซักถามเกี่ยวกับชีวิตให้ได้ขบคิดต่อ

แน่ๆว่าคนไม่ใช่น้อยบางทีอาจรู้สึกขยาดๆว่า บอลลีวูดจะเอาหนังฮอลลีวูดมายำใหม่ เล่าเองเอ้อเองกระทั่งรสสติไม่ดีเปรอะไปเลยหรือไม่ แม้กระนั้นเมื่อได้ดูแล้ว อันนี้คนเขียนก็จำเป็นต้องรับรองนะครับว่า ตัวหนังออกจะเคารพนับถือบทหนังต้นฉบับอยู่มากมายทีเดียว ยังเคารพนับถือเค้าเรื่อง จิตวิญญาณ แล้วก็กิมไม่กจากหนังต้นฉบับเอาไว้ได้แทบครบบริบรูณ์ เป็นหากคุณเป็นผู้ที่ดูหนังต้นฉบับมาแล้ว แทบไม่ต้องทายใจเลยว่าจะตัวหนังจะดำเนินเรื่องแล้วก็มีข้อสรุปเช่นไร เนื่องจากว่ามันก็มิได้ฟั่นเฟือนจากที่พวกเราเคยดูหนังต้นฉบับมาก่อนนั่นแหละขอรับ ดูแล้วเปรียบเทียบตามได้อย่างง่ายๆว่าผู้ใดกันแน่เป็นคนใด อะไรเป็นอะไร กิมไม่กไหนที่มีการแปลความหมาย เปลี่ยนแปลงจากหนังต้นฉบับ อันไหนเป็น Easter Egg จากหนังต้นฉบับ และก็อะไรที่ยังคงเอาไว้ดังเดิม
แต่ว่าแต่กระนั้น ตัวหนังก็มิได้ถึงกับรีเมกมาแบบช็อตต่อช็อตขนาดนั้น เนื่องจากตัวหนังเองก็ยังมีเรื่องมีราวราว แนวทาง รวมทั้งสไตล์แบบของตนอย่างเห็นได้ชัดครับผม เอาเข้าจริงๆตัวหนังเองคงจะมิได้จะตั้งตัวว่าจะขายความสดใหม่เชื้อเชิญว้าวอะไรขนาดนั้น แม้กระนั้นมันน่าดึงดูดตรงการทดลองเอาสูตรที่ดีมาเขย่าใหม่แล้วเสิร์ฟด้วยแนวทางแบบบอลลีวูดมากกว่า จุดหนึ่งที่ตัวหนังทำออกมาได้ดิบได้ดี นอกเหนือจากการอาจเอาไว้ซึ่งการสะท้อนหลักสำคัญเกี่ยวกับชีวิตแล้วก็การมองโลกก็คือ กิมไม่กการสะท้อนเรื่องราวประวัติศาสตร์ในอดีตกาล ซึ่งตัวหนังเลือกที่จะขยายออกมาเป็นดูดซึมพล็อต แล้วก็แทรกสอดบริบท วัฒนธรรม สังคม ประวัติศาสตร์ การบ้านการเมือง ศาสนา ความสนุกสนานของประเทศอินเดียลงไปคละเคล้าได้น่าดึงดูด คนใดกันแน่ทราบเกร็ดเหล่านี้ก็จะมองบันเทิงใจขึ้น แม้กระนั้นผู้ใดกันไม่ทราบก็ยังคงมองได้แบบไม่งงงันนัก
อีกจุดที่ต่างออกไปจากหนังต้นฉบับก็คือ การที่ตัวหนัง Dramatize เรื่องราว ใส่มุกขบขัน แอ็กชัน ดราม่า โรแมนติกที่เข้มข้นจัดจ้ากว่าหนังต้นฉบับนะครับ ซึ่งก็นับว่าเป็นไปตามแบบฉบับหนังบอลลีวูดนี่แหละ ที่ควรจะมีความสนุกสนานฉาบหน้าไว้ก่อน ซึ่งนับว่าทำเป็นดีเลยครับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมุกขบขันจังหวะแดนนรก หรือมุกล้อเลียนอะไรที่เกี่ยวกับอินเดียนี่เป็นฮามาก จังหวะดราม่าก็น้ำตารื้นแบบพอดิบพอดี แม้ว่าจะเล่นใหญ่ตามฉบับหนังประเทศอินเดีย แต่ว่าก็มิได้ถึงขนาดเวอร์วัง อยู่ในจังหวะแบบเรื่อยมาเรียงๆช้าเนิบแบบบอลลีวูด เป็นจังหวะขบขัน ตื่นเต้น ดราม่าแบบเพลิดเพลินๆมิได้ดึงฟีลบีบคั้นจนกระทั่งขั้นตับแตก
อีกสิ่งที่จัดว่าทำเป็นค่อนข้างจะดีเลยเป็นการแปลความนักแสดง ฟอเรสต์ กัมพ์ ครับผม ตัวของ ลาล สิงห์ จั๊ดด้า นั้นต่างกับ ฟอเรสต์ กัมพ์ ต้นฉบับของ ทอม แฮงก์ส ก็ตรงที่ตัวของลาลนั้นมีความเป็นเด็กมากยิ่งกว่า คิดสลับซับซ้อนน้อยกว่า คิดแล้วทำเลที่ตั้งย แน่ๆว่า ความเหมือนจริงในฐานะผู้ป่วยโรคออทิสติกบางทีอาจน้อยกว่าต้นฉบับ แต่ว่ามันก็อำนวยให้ อาภรรยาร์ ข่าน หยอดมุกหน้าเฉยแบบตรงไปตรงมาในสไตล์ของเขาเองเข้าไปเพิ่ม เพื่อใช้หามหนังทั้งยังเรื่องไปได้แบบตลอดรอดฝั่ง
แล้วก็ยังเอื้อให้ตัวหนังแทรกลายเซ็นของเขา มันก็คือการสะท้อนรวมทั้งจักจี้จุดข้อความสำคัญแย้งในสังคมของของชาวอินเดียลงไปในหนัง ทั้งยังหัวข้อความเชื่อถือ สังคม ความอยากได้ การบ้านการเมือง หรือแม้กระทั้งศาสนา (โดยยิ่งไปกว่านั้นศาสนาซิกข์ที่ลาลนับถือ) ได้อย่างน่าดึงดูด แล้วก็เป็นการเพิ่มความหมายใหม่ๆให้ตัวหนังมีความไม่เหมือนออกไปจากอันเก่าด้วย ถึงแม้บางทีก็อาจจะมิได้เอามาจักจี้จุดกันแบบเน้นย้ำๆเสมือน ‘3 Idiots’ (2009) และก็ ‘PK’ (2014) แต่เพียงเพียงนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงื่อนให้หนังโดนกระแสบอยคอตในประเทศอินเดียไปแล้วเป็นระเบียบ