นักเศรษฐศาสตร์โนเบล ชี้ “เด็กปฐมวัย” คือช่วงเวลา ‘สมองทอง’

นักเศรษฐศาสตร์โนเบล ชี้ “เด็กปฐมวัย” คือช่วงเวลา ‘สมองทอง’ ในการบ่มเพาะทักษะเรียนรู้และวางรากฐานการพัฒนา ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แทงมวยพักยก สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการประชุมวิชาการ “Early Childhood Development Series : First Starts” โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.เจมส์ เจ เฮคแมน อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก เจ้าของรางวัลโนเบล กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง “Promoting Skills To Promote Successful Lives” และการเสวนาเรื่อง การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต : ปฐมวัย วัยแห่งโอกาสในการยกระดับคุณภาพ ความเสมอภาค และประสิทธิภาพ

ศ.ดร.เจมส์ เจ เฮคแมน อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก เจ้าของรางวัลโนเบล กล่าวว่า การกระตุ้นให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาทั่วโลกมุ่งมั่นลงทุนสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการศึกษาตั้งแต่ยังเล็ก (Early childhood) การมุ่งเน้นการเสริมทักษะชีวิตที่จำเป็นที่จะมีส่วนช่วยในการเลื่อนสถานะทางสังคม ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับการให้ความรู้กับพ่อแม่เกี่ยวกับทักษะและบทบาทที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของลูกหลานในครอบครัว ซึ่งการพัฒนามนุษย์มีความสำคัญที่สุด โดยการพัฒนาที่จำเป็นที่สุดก็คือการให้การศึกษา เพราะเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในเชิงเศรษฐศาสตร์ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่า การแก้ไขปัญหาภาษี รวมทั้งการให้สวัสดิการบางส่วนแก่ครอบครัวยากจนที่มีเด็กเล็กในวัยศึกษาเป็นการลงทุนในระยะยาว เพราะพวกเขามีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น จากการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ผ่านต้นทุนดังกล่าว และหากพวกเขาได้รับโอกาสที่เหมาะสมก็จะลดปัญหาการส่งต่อความจนจากรุ่นสู่รุ่นได้

เศรษฐศาสตร์

ศ.ดร.เฮคแมน กล่าวต่อว่า หนึ่งในกุญแจหลักที่จะช่วยให้การพัฒนาทุนมนุษย์เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ Public Policy หรือ นโยบายสาธารณะ ที่ให้ความสำคัญในเชิงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการจัดการระบบฐานข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ขณะเดียวกันในส่วนของการลงทุนพัฒนามนุษย์นั้น ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น หมายความว่า ต้องลงมือปลูกฝังอบรมบ่มเพาะทักษะของเด็กตั้งแต่ยังเล็ก ๆ (ประมาณ 2 – 3 ขวบ) เป็นต้นไป สิ่งที่ปลูกฝังให้กับเด็กในช่วงวัยนี้จะเป็นสิ่งที่สร้างตัวตนและลักษณะนิสัยของเด็กที่จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสในการประสบความสำเร็จของเด็กคนนั้นในอนาคต โดยปัจจัยที่จะทำให้เด็กประสบความสำเร็จหลัก ๆ จึงอยู่ที่ทักษะทางอารมณ์และสังคม และความสามารถในการควบคุมตนเอง มากกว่าความฉลาด (IQ) โดย IQ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้ในภายหลัง ภายใต้การอบรมเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ และการเข้าถึงทรัพยากรและสวัสดิการทางสังคมอย่างทั่วถึงเท่าเทียมเสมอภาค โดยนโยบายในการแก้ปัญหาสังคมนั้นควรเป็นนโยบายสาธารณะร่วมกัน ไม่ใช่แยกส่วน ถ้าพูดถึงเรื่องนี้อยากอ้างอิงกฎพาเรโต หรือ Pareto Principle สำหรับประชากรนิวซีแลนด์ หมายถึง การกระทำด้วยแรงเพียงน้อยนิด 20 % แต่ได้ผลลัพธ์มากถึง 80 % แปลว่าลงทุนน้อยแต่ได้กลับมามาก หรือทำบางอย่างในส่วนน้อยเพื่อแก้ปัญหาส่วนมาก และเราควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราลงแรงน้อยสุดมากกว่าไปตามแก้ปัญหาสิ่งที่เราต้องลงทุน ลงแรงมากที่สุด เพราะจากการศึกษาพบว่า การลงทุนในเด็กเล็กจะได้รับผลตอบแทนในระยะยาว กลับมา 7 – 10 เท่า

“การมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่เพียง IQ ดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีทักษะการเรียนรู้ที่เหมาะสมควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการเข้ากับบุคคลอื่น การควบคุมตนเอง การมีส่วนร่วมในสังคม และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตไม่น้อยในปัจจุบัน และความฉลาด (IQ) ไม่ได้ถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมอย่างที่ใครหลายคนเชื่อกัน” ศ.ดร.เฮคแมน กล่าวทิ้งท้าย